October 1, 2012

[FIC] Gotta be you [YUNHOxJAEJUNG][13]

Gotta be you

Title: Gotta be you
Pairing: ChungYunho/KimJaejung
Genre: AU/Romance
Rating: PG
Author: i3e-dwz

#GottabeYJ





13

ยุนโฮกำลังมีปัญหากับการล้างแผลของตัวเอง หนุ่มหล่อกำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้ที่เลยที่อะไรหรือใครก็ตามที่สร้างมนุษย์ขึ้นมาไม่สามารถสร้างให้ท่อนแขนของพวกนี้หมุนได้รอบวง หรือไม่ก็ไม่สามารถถอดออกมาได้ ซึ่งมันทำให้เขาล้างแผลตัวเองได้ลำบากยากเย็นมาก เอ...? หรือว่าเขาจะโทษตัวเองที่พลาดเองดี? หรือเจ้าล้อเขียวของเขามันงอแงเวลาที่เขาไม่มีสมาธิ? หรืออะไรกันแน่? 
แต่จะเป็นเพราะอะไรก็ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาคิดตอนนี้
สิ่งที่เขาควรทำที่สุดก็คงไม่พ้นการรีบๆล้างแผลบ้าบอนี่ให้เสร็จเร็วๆ วันนี้คงทำได้ไม่ดีเท่ากับที่คุณดีไซน์เนอร์มือเบาทำให้แน่แต่มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้นโดยเลี่ยงไม่ได้ถ้าหากแจจุงยังนอนอยู่แบบนี้ 

จัดการแผลที่เกิดจากเรื่องไม่เป็นเรื่องของตัวเองเสร็จเรียบร้อยเขาก็เดินกลับไปบนเตียงที่ก่อนหน้าสักสองชั่วโมงแจจุงกลับมาบ้านและเอาแต่นอนนิ่งๆกลอกตาไปมาโดยไม่ยอมตอบเขาว่าทำไมถึงมีสภาพแบบนี้จนเขาเองยังเหนื่อยที่จะถามทั้งที่เป็นห่วงจับใจ 
แจจุงหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วใครก็ตอบไม่ได้เช่นกับว่าจะตื่นขึ้นมาตอนไหน นี่ก็ใกล้ค่ำเต็มที ยุนโฮจำได้ว่าคนดีของเขาเอาแต่นอนซึมไม่ยอมลุกไปไหนรวมถึงยังไม่ได้ลุกไปกินอะไรด้วย เขาเหลือไปดูนาฬิกาที่หัวเตียงอีกครั้ง...แน่นอน แผนไปกินเนื้อย่างของเขาสองคนคงต้องถูกเลื่อนไปก่อน ตอนนี้เด็กดีก็เลยมุ่งไปที่ครัวเพื่อหุงข้าวและหยิบกับข้าวเก่าในตู้เย็นออกมาอุ่นร้อนเผื่อว่าคนดีตื่นแล้วจะได้ลุกมากินได้ทันที ใช่สิ...เขารู้ว่าเขาควรทำกับข้าวใหม่ เพราะยังไงแล้วการกินอาหารปรุงใหม่ก็คงจะอร่อยกว่า แต่ฝีมือการทำกับข้าวของเขาห่วยแตกเกินกว่าจะทำให้แจจุงกิน เขารู้เช่นกัน 
ยุนโฮตั้งใจมาก เขาระวังมากในทุกขั้นตอน เนื่องจากในตอนนี้ใครก็รู้ดีว่าแขนเขาสมประกอบอยู่เพียงข้างเดียว แล้วใครๆก็คงรู้อีกเช่นกันว่าการอุ่นกับข้าวด้วยมือและแขนข้างเดียวที่สมประกอบนั้นมันไม่ง่ายเลย 

บ้าฉิบ!
เมื่อไรจะหายวะ!?




คนดี ฮันนี่ แจจุง นอนอีกแค่ครึ่งชั่วโมงก็ตื่น เจ้าตัวเห็นยุนโฮนั่งเล่มเกมในโทรศัพท์มือถืออยู่ข้างๆ ช่วงนี้ยุนโฮไม่ได้ออกไปไหนเท่าไหร่และเวลาที่ต้องอยู่พักฟื้นที่บ้านแบบนี้เขาจะไม่ใส่เสื้อ เพราะไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืดสวมหัว หรือเสื้อเชิ้ต มันก็ใส่ยากอยู่ดี นี่คือความดึงดูดของเขาที่ทำให้แจจุงพลิกตัวไปนอนกอดเจ้าหมีตัวใหญ่ข้างๆ

“ตื่นแล้วเหรอ?”

เขาถาม รู้สึกว่าเขาใช้มือแตะแก้มเล่น 

“อือ~”

“นอนเป็นหมูเลยนะครับ ลุกไปกินข้าวหน่อยสิ...ผมเตรียมไว้แล้ว”

“เดี๋ยวก่อน”

“เป็นอะไรไป...ไม่สบายเหรอครับ หืม?” 

โอ...ยุนโฮ 

“ฉันคิดว่าฉันต้องเล่าบางอย่างให้นายฟัง แต่ฉันไม่แน่ใจว่านายอยากฟังมั๊ย...บางทีถ้านายฟังแล้วก็อาจจะรู้สึกไม่ดีก็ได้” 

“พี่รู้มั๊ยว่าพูดมาขนาดนี้มันทำให้คนฟังสงสัยกว่าเก่าอีก”

“เหรอ”

“แต่จะยังไงก็เถอะ ผมอยากให้พี่กินอะไรหน่อย”

“นายเดือดร้อนกับเรื่องข้าวของฉันตลอดเลย” 

แจจุงพูดเสียงอู้อี้อยู่กับเอวเขา นั่นน่ารักเหลือเกินในความคิดยุนโฮ... นานๆทีคนดีจะทำตัวน่ารักแบบนี้ ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะอยู่ให้แจจุงกอดแบบนี้ไปนานๆ แต่เขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญและใส่ใจเรื่องอาหารการกินของแจจุงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วเพราะฉะนั้นเวลานี้ควรเป็นเวลาที่เขาจะต้องพาแจจุงไปที่โต๊ะกินข้าวให้ได้

“มา!” ด้วยแขนข้างเดียวของเขา แจจุงลุกขึ้นนั่ง...แต่ก็ยังเอนซบอยู่กับอกอุ่นๆอย่างงอแง “พี่นอนซะหน้าบวมไปหมด”

“ไม่บอกฉันก็รู้”

“ไปกินข้าวกันเถอะ...ผมรอนานแล้ว”



ยุนโฮรู้... 
มันต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวกับศัตรูหัวใจของเขาอย่างชิมชางมินแน่ๆที่ทำให้คนดีกลับมานอนซึมแบบนี้ ถ้าลองเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วก็คิดถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นใครๆก็คงจะบอกว่ามันทั้งเจ็บปวดและน่าหงุดหงิดมากที่แจจุงเป็นแบบนี้แล้วก็ยังหาทางออกด้วยการอยู่กับตัวเอง มองข้ามยุนโฮที่พร้อมรับทุกอย่างอยู่แล้วไปราวกับไม่สนใจความรู้สึกกัน



▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼




ชายหนุ่มยืนนิ่งๆ สติเขานิ่งแน่ ต่างกับสมองที่ยังคงใช้ความคิดอย่างต่อเนื่อง เขาเป็นคนฉลาดมาตั้งแต่เด็ก คะแนนสอบและผลการเรียนที่ดีของเขาทำให้เด็กนักเรียนคนอื่นๆในโรงเรียนรู้จักและจำชื่อของเขาได้แม่นพอๆกับการตะโกนเชียร์ฟุตบอลทีมชาติ พอได้มองย้อนไป...ไม่ว่าจะในช่วงใดก็ตามในชีวิตเขาจะเห็นตัวเองที่เป็นที่ชื่นชม เป็นที่ยอมรับ ใครๆก็ต้องการตัวเขา ในสมัยเด็กอาจเป็นพวกครูที่ต้องการให้เขาไปแข่งขันตอบคำถามวิชาการ แข่งขันคณิตศาสตร์หรืออะไรก็ตามแต่ ในตอนที่โตเป็นหนุ่มอย่างตอนเรียนปริญญาจนกระทั่งอยู่ในวัยทำงานตอนนี้ก็มีพ่อแม่ของลูกสาวหลายคนต้องการเขาไปเป็นลูกเขยด้วยความเชื่อมั่นที่ว่าเขาจะเป็นสามีและพ่อที่ดีได้ ซึ่งเขาไม่เถียงเลยว่าเขาทำไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่ปฏิเสธไปด้วยคำพูดหรือการกระทำที่ชัดเจนเขาจะให้เหตุผลเสมอว่าเขามีคนที่เขาต้องการอยู่แล้ว ทุกคนก็เลยคอยจับตามอง พวกเขาอยากรู้ว่าใครกันนะที่พิชิตหัวใจของ ‘คุณชิม’ ไปได้ ใครกันที่โชคดีและจะได้เป็นสะใภ้ของ ‘ตระกูลชิม’ แต่พวกเขาคงต้องหมดหวัง หัวใจที่รับความรู้สึกเจ็บปวดจนหนักอึ้งของ ‘ชิมชางมิน’บอกไว้อย่างนั้น
วันนี้แจจุงปฏิเสธเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าครั้งแรก แจจุงทั้งยิ้ม ทั้งจับมือ แต่ไม่ว่าจะดูดี น่าปลื้มขนาดไหนแจจุงก็บอกเลิกกันอยู่ดี
ถึงเขาจะพยายามเล่นละครฉากใหญ่เพื่อเป็นคนเดิมให้เห็นแล้วแจจุงก็ยังอยากจะไป 

เห็นได้ชัดว่าปัญหาไม่ใช่เขา... แต่เป็นเพราะแจจุงรักคนอื่นแล้วจริงๆ


ตั้งแต่สายๆเขาค้นพบว่าเสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่และตั้งใจจะใส่ทั่งวันก็ไม่ได้ให้ความสบายไปมากกว่าชุดทำงานของเขาเท่าไหร่ เสื้อแจ็คเก็ตสีเขียวนี่ก็ทำให้รู้สึกรุ่มร่ามเกินไป ในตอนนี้คงไม่มีอะไรในอดีตที่เหมาะและควรเป็นของเขาจริงๆ ชางมินถอนใจ 
...นี่จะไม่มีอะไรในอดีตที่จะยังคงเป็นของเขาต่อไปจริงๆหรือ?...


เขาร้องไห้... 
ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันนี้ก็ไม่รู้
 


เขาจำได้แม่นว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่รถของเขาถูกรถตู้คันใหญ่ชนจนลอยและหมุนคว้างอยู่กลางอากาศก่อนที่จะกระแทกลงกับพื้น หัวเขาโดนอะไรกระแทกอย่างหนักจนรู้สึกถึงเลือดเย็นๆตอนที่สติกำลังจะหลุดลอย เขารู้สึกว่าร่างของเขาถูกความเย็นฉาบรอบ ชายหนุ่มคิดว่าเขาจะต้องตายแน่เมื่อตัวเริ่มจะชา คราบน้ำตาบนใบหน้าปนเปกับเลือดจนแยกไม่ออก แล้วทุกอย่างก็เงียบไปทั้งที่เขาเห็นอยู่ว่าไม่นานก็มีตำรวจ มีใครก็ตามที่มาเอาเขาออกไปจากรถ เขาอยากร้องดังๆเมื่อหลังเขาถูกสัมผัสแรงๆตอนที่พวกเขาดึงร่างกายของเขาออกมา เขาหมดแรงที่จะช่วยพาตัวเองออกมาอย่างน่าประหลาด แม้คนพวกนั้นพยายามเรียกสติเขาด้วยการตบแก้มและเรียกชื่อตลอดเวลาเขาก็ไม่สามารถเปล่งเสียงหรือทำอะไรที่เป็นการตอบรับไปได้ดีกว่าการกระพริบตาช้าๆ ก่อนจะหมดสติไปจริงๆ 

นาทีนั้นเขาคือคนหนุ่มอนาคตไกลที่กำลังจะตาย เขาจะหมดลมและไปจากโลกนี้เมื่อไหร่ก็ได้


...แต่เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในวันใดวันหนึ่ง...
สิ่งแรกที่เขาเห็นคือดอกไม้ในแจกัน แถมเขายังรู้เลยว่าใครเป็นเจ้าของ 
ซึ่งนั่นก็ถูก... แจจุงถือมาให้เขาเมื่อวานนี้ ตอนที่เขายังไม่ได้สติ น่าดีใจจริงๆที่เป็นแจจุง แต่ก็ปวดใจเหมือนกันเมื่อพอได้ยินชื่อแจจุงแล้วภาพตอนที่แจจุงบอกเลิกเขาที่สวนสาธารณะก็เล่นวนราวกับการรีรันรายการในทีวี 
เขาปวดหัวแต่ก็คิดอะไรได้บางอย่างในเวลาอันรวดเร็ว และเขารู้ว่าแม่บ้านวัยหกสิบปีคนนั้นไม่เหมาะกับความคิดบ้าๆของเขาเลยถึงได้ตามตัวเลขาเชวมาแทนที่และบอกเขาถึงความคิดบ้าๆที่ว่า และแม้เลขาเชวผู้เก่งกาจจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นักแต่เขาก็รับปากรับคำทันที 

จากนั้นเขานอนไปอีกพักใหญ่ก่อนจะรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ได้ยินเสียงของใครสักคน ที่เขารู้โดยไม่ต้องลืมตาขึ้นมาดูด้วยซ้ำ ..แจจุงมากับจุนซู ถามไถ่อาการของเขาและพูดคุยกับเลขาเชวอีกครั้งก็ล่ำลาพร้อมกลับออกไป ...เลขาเชวบอกว่าหมอไม่มีทางไม่ให้ความร่วมมือแน่ๆถ้าเขาบอกว่าเขาต้องการทำเซอร์ไพรส์น่ารักๆให้กับแฟน เขาอยากรู้ว่าแฟนของเขาจะมีปฏิกิริยาเช่นไรถ้าหากเขาตื่นมาแล้วจำเหตการณ์ที่ดีที่สุดระหว่างพวกเขาสองคนไม่ได้
แล้วเขาเริ่มละครฉากใหญ่ที่สุดในชีวิตด้วยการ ‘แกล้ง’ ลืม และเขาปฏิญาณกับตัวเองว่าละครฉากนี้คงจะไม่จบง่ายๆแน่ ตราบใดที่เขายังคว้าแจจุงกลับมาไม่ได้ 



▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼




“ไม่เห็นบอกเลยว่าจะสระผม”

แจจุงดุหมีตัวใหญ่ตอนที่เขาเดินมานั่งข้างๆกันบนโซฟาพลางแย่งผ้าขนหนูมาจากมือเขาด้วย ผมสีน้ำตาลของเขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ และมันกำลังหยดมาที่ปลายผมของเขาจนตัวเขาเริ่มจะเปียกอีกครั้ง สองวันก่อนแจจุงพายุนโฮไปที่ซาลอน ให้ช่างสระผมให้เสียหล่อเนี้ยบจนอดชมไม่ได้ แล้วถ้าให้เดา..เจ้าตัวก็คงยื่นหัวเข้าไปหาน้ำฝักบัวเพราะลืมแน่ๆว่าแผลยังไม่แห้งดีพอที่จะอาบน้ำสระผมได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนเดิม 

“แขนเจ๊งไปข้างนึงแล้วยังทำเก่งอีก”

“ผมลืม”

นั่นไง...

“เข้ามาใกล้ๆหน่อยเร็ว” 

เจ้าหมีทำตามคำขอ เขาเขยิบเข้าไปใกล้ๆและก้มหัวให้คนดีเช็ดผมให้ 
แจจุงเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จก่อนเขาไม่นาน กลิ่นครีมอาบน้ำหอมๆยังกรุ่นอยู่รอบเรือนกายขาวนวลแถมยังนุ่มนิ่มของแจจุงแล้วมันก็ลอยเข้าจมูกเจ้าหมีตัวโตที่กำลังเป็นเหมือนลูกหมีตัวเล็กๆให้ ‘แม่หมี’ เช็ดผมเปียกๆให้อยู่ ใครจะรู้บ้างว่าเจ้าหมีใจสั่นอย่างกับเด็กผู้ชายที่เพิ่งปิ๊งสาวเป็นครั้งแรก เขาแอบยิ้ม มีความสุขถึงแม้จะเจ็บแผลอยู่บ้างนิดหน่อยก็เถอะ แจจุงเช็ดผมให้เขาอย่างเบามือ สบาย และยุนโฮรู้ว่าเขาจะชิงตายไปไหนไม่ได้เลยถ้ายังไม่ได้ถูกดูแลเอาใจใส่อย่างดีขนาดนี้ 

“หอมจัง”

“หืม?”

“ดนดีตัวห๊อมหอม~”

“ยิ่งอยู่กันไปก็ยิ่งปากหวานไปเรื่อยเลยนะ”

“ไม่ได้ปากหวาน...แต่ลองใครมาได้กลิ่นคนดีแบบผมก็ต้องพูดแบบนี้ ตัวหอมมาก อยากกอดแน่นๆ จะได้ได้กลิ่นเยอะๆ”

“ถ้าไม่หยุดพูดเดี๋ยวนี้จะเลิกบริการให้แล้วนะ”

“ไม่เอาๆๆ ถ้าพี่ไม่ช่วยแล้วผมที่แขนเดี้ยงไปข้างนึงจะทำยังไงครับ เป็นหวัดกันพอดี”

แจจุงยิ้ม แล้วก็แกล้งกดหัวของคนช่างพูดลงไปต่ำๆ เขาร้องเลยเพราะความเจ็บปวดเล่นตึงไปทั่วร่าง

“โอ๊ย! โอ๊ยๆๆ พี่แจจุง!!”

“สมน้ำหน้า พูดมากนัก!” 

ยุนโฮไม่รอจนผมแห้งหรอก เขาเงยหน้าและมุดหัวตัวเองเข้าไปใกล้ๆจนแขนของคนดีคล้องอยู่ที่คอ และเขาเห็นดวงตาคู่นั้นใกล้ๆ ถ้าไม่สังเกตจะไม่มีทางรู้เลยว่าแจจุงมีตาสีน้ำตาลเข้มแบบดาร์คช็อคโกแล๊ต และในนั้นจะมีแววแห่งความคิดเสมอ แจจุงคิดวุ่นวายทุกครั้งไม่ว่าจะเผชิญหน้าอยู่กับอะไร รวมถึงเวลาที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับยุนโฮแบบนี้ด้วย 

“เดี๋ยวเป็นหวัดนะยุนโฮ”

“ยอม”

“ยอมอะไร....อื้อ......!!!” 

แจจุงดิ้นอยู่ไม่กี่ทีสุดท้ายก็พบว่ากำลังทำร้ายตัวเองด้วยการทิ้งช่วงเวลาที่ดีเช่นนี้ไปกลางคัน ก็เลยค่อยๆปล่อยตัวและเปิดใจให้กับฟิกซี่บอยขาแดนซ์ผู้มากเสน่ห์คนนี้โดยไม่คิดจะเสียใจทีหลัง 

“อืม...ยุนโฮ.....พอ....”

“............”

“พอแล้ว...ไม่ไหว...อืม....แล้ว........”

เด็กดื้อ!! กว่าจะหยุดก็ให้แจจุงบิดหูก่อนนั่นแหละ 

“ทำไมพี่ชอบทำรุนแรงกับผมล่ะ? ฮันนี่...หูผมเกือบขาดแน่ะรู้มั๊ย”

“ก็นายมันได้คืบจะเอาศอกแท้ๆ!!”

“ก็คนดีน่าจูบนี่” เขาหยิกแก้มคนดี “ทาลิปมันทุกวันแล้วปากนุ่มขนาดนี้เลยจริงๆสินะ”

“หมั่นไส้จริงๆเลย! เดี๋ยวก็ไล่กลับบ้านซะนี่!”

“ดุด้วยล่ะ...อ๊า...น่ารักสุดยอดเลย”

“ยุนโฮ~!!!”

“คร้าบ~”

“นายหยุดพูดเรื่อยเปื่อยแล้วมาคุยกันก่อนได้มั๊ย”

“คุยอะไรครับ”

“เรื่องที่ฉันบอกตอนกินข้าวไง...ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย จะว่ามันไม่สำคัญก็ได้ แต่ฉันต้องพูด ...ฉันไม่อยากปิดบังนาย ฉันรู้ว่าถ้าทำอย่างนั้นจะต้องมาเสียใจทีหลังแน่” 

“.............”

“นะ...”

“ครับ” 

เขาดื้อนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็รับปากรับคำอย่างว่าง่าย และพอจะทำเนียนไปนอนหนุนตักคนดีก็ถูกห้ามเอาไว้ก่อน 

“อยากให้ตั้งใจฟังน่ะ”

“ก็ได้... พี่มีอะไรครับ พูดกับผมได้เลย”

แจจุงจับหน้ายุนโฮอีกครั้ง เป็นใบหน้าเดียวกับที่พบเห็นตอนครั้บแรก เขาหล่อและมีดวงตาน่าหลงใหลมันซ่อนแววทะลึ่งทะเล้น เป็นผู้ชายที่มีชีวิตชีวาสาบานเลยว่าใครอยู่ใกล้ๆก็ต้องรู้สึกอบอุ่น ขณะเดียวกันถ้าต้องเสียไปก็คงต้องเสียใจพร้อมกันแน่ๆ 

“วันนี้ที่ฉันไปเจอชางมินมาน่ะ...”

“.........” ยุนโฮได้แต่มองและรอจนกว่าแจจุงจะเล่าออกมาเอง

“เขาทำเหมือนตอนเราไปเดทกัน...นั่งกินข้าว เขาจะเล่านั่นเล่านี่ให้ฟังเยอะแยะ แต่ฉันก็...ตัดสินใจบอกให้เขาฟังว่าเราเลิกกันแล้ว ไม่แค่นั้นนะ ฉันบอกเลิกเขาเป็นครั้งที่สองด้วย”

วูบขณะนั่งฟังแจจุงพูดถึงคนอื่น ยุนโฮเริ่มงัดคำถามที่เขาเคยถามตัวเองอยู่ทุกวันและแทบทุกเวลาในช่วงก่อนหน้านี้ขึ้นมาถามตัวเองอีกครั้ง 

‘เขารักแจจุงแค่ไหน? และความรักที่เขามีมันสวนทางกับการอดทนความเจ็บปวดหรือเปล่า’


“ฉันเสียใจ” แจจุงบอก น้ำเสียงเบาบาง สายตาเลื่อนลอย “เขาร้องไห้ด้วย ฉันรู้สึกว่าฉันทำร้ายเขา ฉันทำหรือเปล่า? เขาเป็นคนน่ารักคนเดิม...แต่ฉันทำให้เขาร้องไห้...ฉันไม่....ชางมิน....” 

ขณะที่กำลังพึมพำอยู่นั่นแจจุงก็ถูกฉวยมือทั้งสองข้างไปจูบ ความอบอุ่นของฟิกซี่บอยเคลือบอยู่บนความว้าวุ่นของแจจุงได้อย่างไม่น่าเชื่อ และเมื่อแจจุงมองตาเขาก็รู้เลยว่าเขาช่างเป็นคนดีเหมือนที่เคยดี ถ้าถามเขา...เขาต้องบอกแน่ๆว่าเขายินดีอยู่ข้างๆแจจุงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…

แต่นั่นคือความคิดของแจจุงคนเดียว หนำซ้ำ มันยังเป็นแค่ความคิด ไม่ใช่ความจริงที่ถูกต้องเสมอไป 


“ผมอยากรู้”

“...อะไร?”

“ถ้าผมร้องไห้เพราะพี่บ้าง ถ้าพี่รู้ว่าผมเคย...พี่จะนอนซึมจนลืมสนใจตัวเองแบบวันนี้บ้างหรือเปล่า”

“ยุนโฮ...?” 

แจจุงจ้องตายุนโฮอย่างสงสัยในความรู้สึกที่อัดอแน่นอยู่ในใจจนทำให้ชายหนุ่มต้องพูดมันออกมา มันเป็นยังไง มันมีมากแค่ไหน และเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่? 
ยุนโฮที่กำลังมองอยู่นี้เป็นยุนโฮคนเดียวกับที่คอยดูแลเอาใจใส่แจจุงและอ้อนเป็นเด็กอยู่บ่อยครั้งจริงๆน่ะเหรอ? ยุนโฮที่รุกจูบครั้งแรกที่หน้าผับแล้วก็บอกว่าจะไม่ถอย...ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ถอยเด็ดขาดกำลังมีสายตาที่น่าเป็นห่วงพอๆกับความรู้สึกที่มั่นใจได้เลยว่าเขายังแสดงมันออกมาไม่หมด แจจุงเป็นห่วงเขา... ความรู้สึกของเขาฉีกทึ้งความคิดบ้าบอของแจจุงให้กระจัดกระจาย ชางมินผู้น่ารักที่น่าสงสารกว่าในตอนแรกเลือนหายไปในความคิดและถูกแทนที่ด้วยยุนโฮที่อยู่ตรงหน้า ยุนโฮที่เป็นปัจจุบัน ยุนโฮที่กำลังมองแจจุงเป็นการตัดพ้อที่รุนแรงกว่าคำพูด เขาฉุดแจจุงที่ไร้สาระสุดกู่ในเวลานั้นกลับมาอยู่กับช่วงเวลาปัจจุบันด้วยความเสียใจของเขาล้วนๆ


“ผมขอโทษ” แต่เขารู้ว่าเขาไม่ควรทำแบบนี้ในฐานะของผู้ชายคนหนึ่งก็เลยรีบถอยห่างออกไปทันที “พี่เข้านอนได้แล้ว ผมจะไปจัดการทำให้ผมแห้งก่อน”

“เดี๋ยว...ยุนโฮ!”

เขาเดินไปทางห้องน้ำและไม่หันกลับมาแม้จะได้ยินแจจุงเรียก โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าสลิปเปอร์ดังตามมาจากข้างหลัง เขายิ่งรีบสาวเท้าเข้าไปขังตัวเองไว้ในห้องน้ำไม่ให้ใครตามทัน

“ยุนโฮ...”

“ผมบอกให้ไปนอนไง”

“...........”



‘ขอโทษ’ 


คำเดียวที่แจจุงคิดในตอนนั้น
ก็แค่ ‘คิด’ ไม่ได้ ‘พูด’ 



▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼




เช้านี้อึดอัดมาก พวกเขานั่งกินอาหารเช้าด้วยกันที่เดิมแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำต่อเนื่องมาจากเมื่อคืนนี้ แจจุงไม่รู้ว่ายุนโฮออกมาจากห้องน้ำตอนกี่โมง รู้แค่ว่าเขาหายเข้าไปนานมาก กลับมาอีกทีเขาก็ปิดไฟแล้วก็หยิบหมอนกับแจ็คเก็ตไปนอนที่โซฟาแทน แจจุงไม่กล้าเรียกเขากลับมานอนเตียง...กลัวว่าพอทำเช่นนั้นแล้วเขาจะตอบกลับมาเป็นความเงียบ ซึ่งนั่นคงทำให้รู้สึกผิดกว่าเดิมแน่นอน 

ยุนโฮอยู่ตรงนั้น... เขาดื่มนมหลังจากที่ซีเรียลหมีหมดไปตั้งแต่วันก่อน แล้วก็นั่งกินขนมปังกับแยมมาร์มาเลด แจจุงว่าเขาน่ารักทุกทีเวลาที่เคี้ยวจนแก้มตุ่ยแบบนั้น และเพราะเขาดูเหมือนเด็กด้วยแน่ๆแจจุงถึงได้กล้าง้อเขาในที่สุด 

“นี่...”

“...ครับ?” เขาขานรับ แต่ไม่มองตาเหมือนทุกที 

“วันนี้เราไปซื้อซีเรียลหมีกันเถอะ”

“ถ้าแค่นั้นผมไปคนเดียวได้”

“แขนเจ็บจะไปยังไง”

“ไปได้ครับ ผมตั้งใจจะไปอยู่แล้ว”

“งั้นให้ฉันขับรถให้สิ” 

เขาเงียบ ยังทำหน้าบูดไม่เลิก ก่อนจะลุกหนีไปโดยที่แจจุงก็เดินตามไปติดๆ เพื่อส่งเสียงเรียกและวาดวงแขนรอบเอวของชายหนุ่มจากด้านหลัง แก้มนุ่มแนบอยู่กับแผ่นหลังอุ่นอันเปลือยเปล่าตอนที่กอดและจูบเจ้าหมีเป็นการง้อ 

“ยุนโฮ~~”

“คนดี ผมจะไปแต่งตัว...”

“ฉันขอโทษ”

“.........”

“ฉันขอโทษที่ทำตัวแย่ นายต้องผิดหวังและโกรธฉันแน่ๆเรื่องเมื่อคืนนี้...แต่ว่า....”

“พี่แจจุง...”

“หือ?” เขาหันมา แล้วก็คว้าคอคนดีของเขาไปจูบ ดูดดื่ม ลึกซึ้ง แล้วมันก็สั่นหัวใจได้มากพอที่จะทำให้แจจุงแทบยืนไม่อยู่ ยุนโฮเขาร้อนแรง และทำให้ความรู้สึกของคนถูกจูบอย่างแจจุงร้อนระอุเหมือนไฟสุม โอ...ยุนโฮ ชองยุนโฮ เขามีจิตใจที่ดี มีร่างกายที่ดี มีจูบที่ยอดเยี่ยม เขาหลอมละลายทุกอย่างด้วยความร้อนแรงของเขาได้ง่ายๆเลยใช่มั๊ย แจจุงคิดขณะที่เผยอปากให้เขาชำแรกแทรกลิ้นเข้าไปสัมผัสกันภายใน ปล่อยให้ช่วงเวลาดีๆดำเนินไปอยู่อย่างนั้นแจจุงก็ต้องรีบผละออกก่อนที่ความร้อนแรงทุกอย่างจะไปรวมตัวกันอยู่ที่จุดเดียวอย่างเคย แต่ถึงอย่างไรใจที่ขาดพลังมาตั้งแต่เมื่อคืนก็ดีขึ้นแล้วแน่นอน 

“ฟังผม...” เขาจับที่ไหล่แจจุง ไล้ปลายนิ้วมือบนผิวนุ่มๆอย่างอ่อนโยน “ตั้งแต่ที่เขากลับเข้ามาในชีวิตพี่ มาทำให้เราสองคนเป็นแบบนี้...ผมโกรธพี่เป็นสิบๆครั้งแล้วและผมไม่คิดว่าผมอยากจะให้อภัยพี่สักครั้ง แต่พอผมพยายามไม่สนใจพี่ พยายามมองไม่เห็นพี่...พี่ก็มาทำแบบนี้ พี่ง้อผม พี่กอด พี่ยอมให้ผมจูบ ผมรู้สึกว่านั่นคือรัก...พี่รักผม ใช่มั๊ย?”

“อืม”

“บอกทีว่าพี่รักผม บอกผมด้วยเสียงของพี่...บอกผมที”

ดวงตาของแจจุงจับจ้องอยู่ที่เจ้าหมีน้ำตาคลอ เสียงเขาสั่น เขาดูไม่มั่นใจและไม่มั่นคงพอที่จะประคับประคองใครเลยในตอนนี้ เขาดูเป็นเด็ก.......เด็ก...ที่อยากให้กอด
และแจจุงก็กอดเขา จูบใบหูของเขา สูดกลิ่นของเขา และ...รักเขา 

“ฉันจะไม่บอกสิ่งที่เธอต้องการฟังหรอกนะ แต่ฉันจะขออะไรเธอบางอย่าง”

“.............” 

ดวงตาของยุนโฮสั่นไหว เขารอฟังสิ่งที่แจจุงขอ...

“อย่าไปไหน...มองดูฉันต่อไป หาความรักจากการกระทำของฉัน จูบฉัน นอนกับฉัน รักฉัน”

“แจจุง....”

“ขอร้องล่ะยุนโฮ”

“ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากหายโกรธขนาดนี้ อาจเป็นเพราะผมเอง ผมไม่แน่ใจหรอกว่าจะทนลำบากได้มั๊ย ถ้าไม่มีพี่”

“ฉันสิต้องลำบากแน่ถ้านายไม่อยู่”

“จริงเหรอ”

“จริง” แจจุงตอบอย่างมั่นใจ “เพราะฉะนั้น ทำตามที่ฉันขอเถอะ...นะ ยุนโฮ...นะ?”

พอกันที! 
ยุนโฮยอมแพ้... 

เขาแย้มยิ้มแล้วก็ก้มหน้าซุกลงกับลาดไหล่ของแจจุงด้วยความรู้สึกผ่อนคลายที่ก่อตัวมากขึ้นๆ เขารู้สึกอบอุ่นกว่าครั้งไหนเวลาที่แจจุงยกแขนโอบกอดเขา แจจุงกอดแน่นจนรู้สึกได้ นอกจากนั้นยังจูบยังหอมเขาอย่างหวงแหน 
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่พวกเขาพากันร้องไห้และเมื่อเวลาผ่านไปเล็กน้อยการปล่อยโฮร้องไห้พร้อมๆกันก็กลายเป็นเรื่องตลก สุดท้ายก็หัวเราะกันทั้งคราบน้ำตา 



นั่นคือยามเช้าแสนอึดอัด... 




“ทีนี้ไปเราซื้อซีเรียลหมีด้วยกันได้แล้วใช่มั๊ย”





...ที่เปลี่ยนไปแล้ว



▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼




ตอนเด็กยุนโฮถูกแม่ตีเป็นประจำ ...เหตุเกิดมาจากการที่เขาเป็นเด็กดื้อและรั้นอย่างถึงที่สุดนอกจากนั้นเวลาเขามีเรื่องชกต่อยตามประสาผู้ชาย แม่ก็จะไม่ชอบใจและตีเขาเหมือนกัน 
ครั้งล่าสุดที่แม่ตีเขาก็ตอนที่เขามีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนที่โรงเรียนในวันจบการศึกษา หนำซ้ำเพื่อนร่วมชั้นที่เขาชกหน้ายังเป็นลูกของอาจารย์วิชาศิลปะที่เขาเกือบพลาดจนไม่จบม.ปลายเสียด้วย โชคดีเป็นของเขาเพราะใครๆก็รู้ว่าเขาเป็นคนดี ถึงจะไม่ได้เรียนเก่งอย่างพวกห้องคิงแต่ก็ไม่ใช่เด็กนอกลู่นอกทาง ถึงแม้เขาจะเข้าโรงเรียนทางกำแพงด้านข้างแถมยังออกมาก่อนเวลาออดดังในทางเดียวกันอยู่บ้าง หรือถึงแม้เขาจะโดดเรียนวิชาคณิตศาสตร์ไปขลุกอยู่ในชมรมเต้นรำเป็นประจำก็ตาม เขารอดมาได้... 

แต่ถึงเขาจะเป็นที่รักของครูหรืออาจารย์ แต่ความหล่อและมีเสน่ห์ของสุภาพบุรุษอย่างเขาก็ทำให้เขามีศัตรูขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวได้เช่นกัน สาวๆส่งจดหมายรักหาเขาบ่อยๆ ช็อคโกแล๊ตที่เขาได้มาก็มากมายจนต้องเอาไปแจกจ่ายเพื่อนบ้าน ไม่รู้ว่าแม่ของเขาภูมิใจหรือเปล่าแต่พวกเพื่อนบ้านรุ่นป้าเหล่านั้นก็รักเขามากเหมือนกัน 
นั่นแหละ... เป็นเพราะใครๆก็รักเขา มันก็เลยช่วยไม่ได้ที่จะมีพวกขี้อิจฉามาท้าตีท้าต่อยหรือดักหาเรื่องเขาก็มี 
ถึงสถิติของเขาจะมีชัยชนะมากกว่าความพ่ายแพ้ก็เถอะแต่แม่ของเขาไม่เคยชื่นชมเลยที่นอกจากจะหล่อแล้วก็เป็นคนดีแล้วลูกชายคนนี้ยังต่อยตีกับคนอื่นเก่งอีกด้วย 
วันนั้นแม่ตีเขาหนักมาก แล้วก็โหดขนาดที่ว่าเขาวิ่งหนีตั้งแต่ชั้นล่างยันชั้นบนหรือในบ้านยันนอกบ้านแล้วแม่ก็ยังตั้งใจจะตี แต่แล้วพอทุกอย่างหยุด...ไม่ใช่ว่าแม่เลิกโมโหหรอกนะ แต่เป็นเพราะแม่เหนื่อยแล้วต่างหากเขาก็เข้าไปอ้อนตามประสาลูกชายคนดี และแม่ก็บอกเขาตอนนั้นเองว่า 

“แม่จะไม่ตียุนโฮอีกแล้วนะลูก...ยุนโฮโตป่านนี้แล้วคงอายคนอื่นเขาแย่เลยสินะที่ยังต้องมาวิ่งหนีไม้เรียวแม่แบบนี้อยู่อีก”
ยุนโฮไม่อายเลย...ถ้าจะว่ากันจริงๆคงเป็นเพราะไม้เรียวและสารพัดไม้ของแม่นี่แหละที่ทำให้เขาเป็นผู้เป็นคนได้แบบนี้ 

“แต่ยุนโฮต้องเลิกใช้ชีวิตแบบนี้ได้แล้ว แม่ไม่ชอบให้ยุนโฮมีเรื่องกับใคร แล้วพอยุนโฮมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแม่ก็เชื่อว่าแฟนของยุนโฮก็คงจะไม่ชอบเหมือนกัน”


ยุนโฮไม่เคยฟังเฉยๆ เขาเถียงแม่ทันควันว่าแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเขาถูกหาเรื่องจากคนอื่นต่างหาก ไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มเองสักครั้ง 
ผลสรุปเป็นยังไง... 
แม่ก็ตีเจ้าลูกชายอีกครั้งหลังจากที่เจ้าตัวบอกอะไรน่าหมั่นไส้จนทนไม่ไหว

“ต้นเหตุทั้งหมดคือลูกชายแม่หล่อ แค่นั้นเอง”


.
.
.

และลูกชายสุดหล่อคนนั้นก็กลับมาหาแม่ของเขา ณ ที่เก่าเวลาเดิมเช่นทุกปีไม่เปลี่ยนแปลง เขาวางช่อดอกไม้ลงหน้าป้ายหินอ่อนที่เพิ่งจะใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดด้วยตัวเองไปเมื่อครู่นี้เอง 

วันนี้คือวันสำคัญ วันเกิดของคุณนายชอง คนสวยของเขา...ซึ่งเขาต้องมาที่นี่พร้อมกับดอกไม้สีขาวที่แม่ชอบ มาอยู่ที่นี่ให้รู้สึกว่าตัวเองยังได้ใช้เวลาอยู่กับแม่เหมือนปกติ ปีที่แล้วเขาเป็นไอ้บ้าที่เอากีตาร์มานั่งเล่นเพลงของเดอะ บีทเทิลส์ ให้แม่ฟัง เขาร้องเพลงไม่ดีเท่าไหร่หรอก จำเนื้อเพลงก็ผิดๆถูกๆ แม่บอกหลายครั้ง...แต่เขามันก็คือลูกชายคนเดียวผู้น่ารักและเป็นจอมกวนประสาทมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

เขาน่ารักมาก

แจจุงที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลก็คิดอย่างนั้น...
ยุนโฮบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าแผลเขาดีขึ้นมากแล้ว เขามาที่นี่คนเดียวได้สบายแน่ๆถ้าแจจุงไม่ว่าง แต่คนดีของเขาก็ไม่เคยไว้ใจเขาหรอกถ้าแผลยังไม่หายสนิท ดังนั้นก็เลยฝากงานที่ต้องทำทุกอย่างในวันนี้ให้ลูกน้องผู้น่ารักอย่างจุนซูจัดการให้แล้วตัวเองก็อาสาขับรถให้ลูกชายได้มาหาแม่เขาอย่างที่เห็น และเพราะแจจุงรู้สึกว่าเวลานี้ควรให้ยุนโฮอยู่ตรงนั้นคนเดียวมากกว่าที่จะมีแจจุงยืนอยู่ข้างๆด้วยก็เลยถอยออกมาแล้วก็ยืนกางร่มมองดูเจ้าหมีนั่งพูดอะไรสักอย่างทั้งรอยยิ้ม 

เขาสูงเมตรเก้าสิบเซนพอดี เป็นผู้ชายหุ่นหมีๆ ยิ้มเก่ง สูงใหญ่ น่ากอด แล้วก็อบอุ่นมากเสียด้วย เวลาแจจุงร้องไห้ เขาจะปลอบ...เหมือนกับที่เราเคยเห็นผู้ใหญ่ปลอบเด็กๆ เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากเวลาช่วยแจจุงคิดแก้ปัญหาต่างๆ สายตา ความคิด คำพูดของเขาเป็นผู้ใหญ่อายุสามสิบคนนึงเลยเวลาที่เขาใช้สมองเยอะๆ เขารักสัตว์ด้วย...เคยบอกว่าคิดจะเลี้ยงไซบีเรียนฮัสกี้สักตัวแต่ก็กลัวว่าจะเลี้ยงมันได้ไม่ดี โดยรวมคือเขาเป็นผู้ชายที่มีจิตใจอ่อนโยน ความรักของเขาน่าเชื่อถือและรักษาดูแลเสมอ แต่มันก็มีอยู่เหมือนกัน เวลาเขางี่เง่า เวลาเขาเรียกร้องความสนใจอย่างเอาแต่ใจก็น่าตีแรงๆ เป็นเด็กไม่รู้จักโต ทำหน้ามุ่ย ขมวดคิ้ว โวยวาย แล้วก็ทำตัวขวางโลก แต่นั่นก็เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งมุมน่ารักๆของเขา 

วันนี้เขาโทรมาบอกว่าจะไม่อยู่ที่บ้าน แจจุงกลัวว่าเขาจะหนีไปเต้นหรือขี่จักรยานที่ไหนอีกก็เลยถามยกใหญ่ว่าจะไปไหน กับใคร ไปทำอะไร และกลับเมื่อไหร่ พอได้คำตอบก็รู้สึกถึงความเป็น ‘ลูกชาย’ ของเขาขึ้นมาทันที และเพราะแบบนี้ก็เลยหันไปหาจุนซูที่กำลังตื่นเต้นกับข่าวที่ว่า เลียม เพนย์น เลิกรากับแฟนไปแล้ว เพื่อฝากงานทุกอย่างให้โดยไม่รอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนจะคว้าเสื้อคลุม กระเป๋าถือและของจุกจิกที่ชอบหอบเป็นนิสัยออกมาจากออฟฟิศ ทันที
...



“รายงานวีรกรรมเรียบร้อยแล้วเหรอ?” 

“ครับ”

เขาหันมาเรียกคนดีเข้าไปบ้าง...
แจจุงเดินเข้าไปและจับมือของยุนโฮเอาไว้ มือของเขาอุ่นมาก นี่แหละความอบอุ่นที่สัมผัสได้ 

“แนะนำฉันหรือยัง?”

“บอกแม่แล้วว่าพาสะใภ้มา”

นั่นไง...เขาเจ้าเล่ห์อย่างที่คิดไว้เลย 

“สะใภ้อะไร?? ฉันยังไม่ได้ตกลงเลยนะ” 

“อ้าว? ทำไมพี่พูดแบบนี้ล่ะ”

“ลูกชายคุณน้าน่ะกะล่อนมากเลยครับ เขาดื้อมากด้วย...บางทีก็น่าตีให้ตาย”

“........”

“แต่เขาเป็นคนดีมาก เขาดีกับผมมากเลย จนผมไม่รู้ว่าถ้าไม่มีเขาจะมีความสุขแบบนี้ได้ยังไง”

“แม่ต้องอยากรู้แน่ๆว่าพี่รักผมหรือเปล่า”

“...เนี่ย เห็นเปล่าล่ะ?”

“บอกแม่เร็ว~~”

“ไม่...ผมไม่ได้รักเขาหรอกคุณน้า แต่ช่วงนี้ผมดูแลเรื่องแผลเขาทุกวัน ผมทำอาหารให้เขากินวันละสองมื้อคือมื้อเช้าที่เอาไว้กินตอนกลางวันด้วยกับมื้อเย็นเพราะกลัวว่าเขาจะขี้เกียจแล้วก็ไม่กินจนโรคกะเพาะกำเริบ ผมเคยเห็นยุนโฮปวดท้อง...แล้วผมก็รู้สึกปวดไปกับเขาด้วย ผมขับรถให้เขาเพราะกลัวแผลเขาแตกเวลาขยับแขนมากๆ ผมล็อคจักรยานเขาไว้ที่ระเบียงเพราะกลัวเขาเอาออกไปขี่เล่นอีกเพราะเขายังไม่หายดี ผมนึกขอบคุณทุกครั้งที่เขาบอกรัก ผมอยากอยู่กับเขา เพื่อให้เราดูแลกันและกัน...ไม่ใช่แค่ช่วงที่เขาเจ็บหรือผมเจ็บ แต่ผมหมายถึงทุกเวลา ...แค่นี้เองครับ”

“..........”

อึ้งไปเลยล่ะซี่ ฟิกซี่บอย~

“ผมจะหาเวลามาเยี่ยมคุณน้าอีกแน่นอน เพราะหลังจากนี้ถ้ายุนโฮหายดีแล้วเขาคงเอาแต่ยุ่งอยู่กับจักรยานแน่ๆ”

“พูดเกินไปแล้ว”

“ขอบคุณนะครับ...คุณน้าเลี้ยงเขามาดีจังเลย”

พวกเขากระชับมือกันให้แน่นแฟ้นกว่าเดิม แล้วต่างคนต่างก็ส่งรอยยิ้มที่มีความหมายให้แก่กัน ทุกอย่างแสดงชัดเจนในเวลานั้น และน่าเสียดาย...พวกเขาไม่ให้โอกาสคนนอกมองเห็นสิ่งที่สายตาของพวกเขาสื่อถึงกันเลย

“ขอบคุณครับ” เขาบอกกับคนดีของเขา แล้วก็จูบหน้าผากมนโดยมีแม่ของเขาเป็นสักขีพยาน “คนดีของผม”







tbc